นโยบาย พัฒนาประเทศที่รัฐบาลให้ความสำคัญคือการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศโดย ใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตและการลงทุน ในอดีตเราใช้ความได้เปรียบด้านค่าแรงถูก แต่ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมของประชาคมโลกแข่งขันกันที่การมีฐานและทักษะความ ชำนาญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นปัจจัยในการดึงดูดการลงทุน ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถอ้างข้อได้เปรียบด้านค่าแรงเป็นปัจจัยการแข่งขันอีก ต่อไป
"ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีเพื่อเป็นฐานในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศด้านการลงทุน โดยเฉพาะการพัฒนากำลังคนระดับสูงด้านการค้นคว้าวิจัย ประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมขึ้นมารองรับการแข่งขัน ซึ่งปัจจุบันประเทศยังขาดแคลนบุคลากรด้านนี้อีกมาก แต่สถาบันการศึกษาซึ่งมีหน้าที่ผลิตคนทางด้านนี้ยังไม่สามารถสนองตอบได้ เพราะยังแก้ปัญหาไม่ถูกจุดหรือ "เกาไม่ถูกที่คัน" เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์หรือวิศวกรที่ผลิตได้เป็นผู้ที่มีความรู้ทางวิชาการ มากกว่าการเป็นนักปฏิบัติ ส่วนสายอาชีวะที่เน้นผลิตช่างฝีมือป้อนให้กับภาคอุตสาหกรรมก็ยังจะต้องได้ รับการส่งเสริมให้มีศักยภาพในการพัฒนาและต่อยอดช่างฝีมือที่มีคุณภาพให้เป็น "นักเทคโนโลยี" ที่มีความคิดสร้างสรรค์ในการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ๆ ได้ โดยมีหลักสูตรเฉพาะรองรับ...."
"....ทางแก้คือการขยายฐานการ ศึกษาเพื่อสร้างนักเทคโนโลยีที่สามารถผสมผสานวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีเข้ากับทักษะทางด้านช่าง เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ที่จะนำไปสู่การยกระดับความสามารถทางด้านเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในด้านการแข่งขันให้กับประเทศ ซึ่งเป็นที่มาของการจัดตั้ง "โรงเรียนเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์" โดยความร่วมมือของหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม และมหาวิทยาลัยของรัฐ 4 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี พระจอมเกล้าธนบุรี, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เพื่อพัฒนาผู้ที่มีความสามารถพิเศษทางด้านการประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีและการ สร้างสรรค์นวัตกรรมให้เป็นนักเทคโนโลยีที่เป็นทั้งนักคิดและนักปฏิบัติที่มี ความเชี่ยวชาญทั้งด้านเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์..."
นางสาวนริศ รา ชวาลตันพิพัทธ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งดูแลงานด้านนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา พูดถึงยุทธศาสตร์ การผลิตกำลังคนเพื่อช่วยขับเคลื่อนประเทศ
โครงการ นี้นอกจากเป็นฐานการผลิตคนเพื่อพัฒนาไปสู่การเป็นนักเทคโนโลยีแล้ว ยังมีเป้าหมายเพื่อยกระดับมาตรฐานสถานศึกษาสังกัด สอศ.ให้เป็นแหล่งผลิตนักเทคโนโลยี รวมถึงการสร้างเครือข่ายระหว่างสถาบันอุดมศึกษากับภาคอุตสาหกรรมและสถาบัน วิจัยเพื่อให้เกิดการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี โดย สอศ.เป็นผู้จัดหาสถานศึกษาในสังกัดที่มีความพร้อมมาร่วมโครงการ จัดทำหลักสูตรการสอน จัดหาครูผู้สอนร่วมกับมหาวิทยทาลัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่วนสถาบันอุดมศึกษาในความร่วมมือจะจัดทำหลักสูตรอุดมศึกษาให้สอดคล้องกับ การเรียนการสอนของโรงเรียน และรับผู้สำเร็จการศึกษาในโครงการให้เข้าศึกษาต่อตามหลักสูตรการสร้างนัก เทคโนโลยี ส่วน สวทช.สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพผู้เรียน กิจกรรมการวิจัยและพัฒนาครู รวมถึงการสนับสนุนทุนศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ด้านกระทรวงอุตสาหกรรมมอบหมายให้หน่วยงานในสังกัด เช่น การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยสนับสนุนการฝึกงานในสถานประกอบการ นับเป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญของหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในการผลิตกำลัง คนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศอย่างครบถ้วนกระบวนการ
เรียนรู้วิทยาศาสตร์-เทคโนโลยีแบบบูรณการปั้นนักเทคโนโลยี ผ่าน Project Based Learning
โรงเรียน เทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ (Science-Based Technology School) เป็นโครงการนำร่องที่จัดตั้งขึ้นในวิทยาลัยการอาชีพพานทอง สังกัด สอศ. จัดการศึกษาในระดับปวช. รูปแบบโรงเรียนประจำแบบเดียวกับโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ โดยรับนักเรียนชั้น ม.3 ที่มีความสามารถพิเศษทางการประดิษฐ์คิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยีเข้ามาเรียน เพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพและเตรียมความพร้อมของผู้เรียนและกระตุ้นให้ เกิดการเรียนรู้และความสนใจที่จะพัฒนาตนเองสู่การเป็น "นักเทคโนโลยี" ในอนาคต โดยคัดเลือกนักเรียนที่มีผลการเรียนในระดับดีหรือเด็กเก่งจากโรงเรียนมัธยม ทั่วประเทศ ผ่านการวัดความถนัดทางด้านการประดิษฐ์คิดค้น มีผลงานหรือประสบการณ์ด้านการคิดโครงการและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้นทั้งจากโรงเรียนและเวที กิจกรรมต่างๆ เช่น ค่ายวิทยาศาสตร์ การจัดประกวดโครงงาน/สิ่งประดิษฐ์ การทดสอบความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
การจัด หลักสูตร การเรียนการสอน เป็นการผสมผสานระหว่างการเรียนแบบรู้ลึกในเชิงวิชาการและการฝึกทักษะวิชาชีพ ในระบบการเรียนของอาชีวศึกษาอย่างเข้มข้น เพื่อให้มีพื้นฐานความรู้ทางด้านเทคโนโลยี อาทิ เครื่องกล ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และลงมือปฏิบัติจริง โดยนำความรู้ที่เรียนมาประยุกต์ใช้ในการแก้โจทย์ปัญหาผ่านการทำโครงงาน หรือ Project-based learning โดยการสอนจะมีครูพี่เลี้ยงที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะด้านช่วยสนับสนุนให้ นักเรียนได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง มีอาจารย์พิเศษจากมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัยในความร่วมมือและผู้เชี่ยวชาญจากภาคอุตสาหกรรมมาร่วมสอนและให้คำ ปรึกษาด้านการจัดการเรียนการสอน และช่วยเสริมทักษะและความคุ้นเคยกับโจทย์และปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในภาค อุตสาหกรรม
นอกจากการเรียนในห้องเรียนแล้ว นักเรียนยังได้ไปทัศนศึกษาและดูงานในสถานประกอบการเพื่อสัมผัสและเรียนรู้ การทำงานจริงในภาคการผลิตและบริการเพื่อจุดประกายการเรียนรู้และต่อยอดความ รู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะนำไปสู่การสร้างเทคโนโลยีและการประดิษฐ์ คิดค้นในอนาคต ดังนั้นนักเรียนที่จบจากโรงเรียนเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์จะเป็นผู้ที่มีฐาน ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เข้มข้น พร้อมกับทักษะพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่เพียงพอจะต่อยอดในระดับอุดมศึกษาใน มหาวิทยาลัยในความร่วมมือทั้ง 4 แห่ง และขณะนี้ สอศ.กำลังเร่งจัดทำหลักสูตรพิเศษในระดับ ปวส. และปริญญาตรีต่อเนื่อง เพื่อรองรับการศึกษาต่อซึ่งจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของนักเรียนกลุ่มนี้
โรงเรียน เทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ได้เปิดสอนและรับนักศึกษารุ่นแรกในปีการศึกษา 2551 มีนักเรียนเข้าร่วมโครงการจำนวน 29 คน และในปีการศึกษา 2552 นี้ มีนักเรียนเข้าร่วมโครงการ 30 คน โดยนักเรียนของโรงเรียนเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ทุกคนจะต้องพักอาศัยอยู่ภาย ในโรงเรียน ซึ่งจัดสิ่งอำนวยความสะดวกด้านที่พัก และครูพี่เลี้ยงคอยดูแลและเป็นที่ปรึกษาตลอดเวลา ที่สำคัญการใช้ชีวิตในรูปแบบของโรงเรียนประจำจะทำให้นักเรียนทุกคนได้เรียน รู้การอยู่ร่วมกัน เช่น กิจกรรมทางวิชาการเสริมการเรียนรู้ในห้องเรียน ตลอดจนกิจกรรมที่มุ่งปลูกฝังด้านคุณธรรมจริยธรรมที่จะบ่มเพาะให้นักเรียนทุก คนเป็นผู้ที่ถึงพร้อมทั้งด้านความรู้และคุณธรรมจริยธรรม
นาย เฉลียว อยู่สีมารักษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวว่า โครงการนี้เกิดขึ้นได้เพราะความร่วมมือของทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชน และได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้บริหาร คณาจารย์ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับ รวมทั้งสถานประกอบการต่างๆ จากที่ได้พบปะนักศึกษารุ่นแรกและผู้บริหารโรงเรียน เห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีโดยเฉพาะการจัดการเรียนการสอน สิ่งที่นักศึกษาจะได้จากการเข้ามาเรียนที่นี่ อย่างแรกคือ ความรู้จากครู วิทยากร และคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยที่สอนด้านนี้โดยเฉพาะ เชื่อว่าโรงเรียนมัธยมดังๆ ไม่มีโอกาสอย่างนี้ อย่างที่สองคือการจัดการเรียนการสอนที่ให้นักศึกษาได้ค้นหาความต้องการและ ความสามารถของตนเอง ไม่ถูกเก็บหรือถูกบล็อกความคิดจากครูผู้สอน เรียนที่นี่ความคิดของนักศึกษาไม่ผิด มีแต่ว่าของใครสมบูรณ์ที่สุด ส่วนที่ขาดครูจะคอยแต่งเติมให้ ถ้าตั้งใจเรียนจริง ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ไม่ได้
ศาสตราจารย์ ดร.คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ ที่ปรึกษาโครงการโรงเรียนเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ กล่าวว่าคนไทยยังเข้าใจระบบอาชีวศึกษาผิดอยู่มาก เด็กยังนิยมเรียนต่อสายสามัญมากกว่าอาชีวะ ในขณะที่ต่างประเทศอย่างสวิสเซอร์แลนด์มีคนเรียนสายอาชีวะถึง 70% มีเพียง 30% เท่านั้นที่เรียนสายสามัญเพราะอาชีวะสามารถเข้าสู่อาชีพได้ตรงกว่า
โครงการนี้ถูกคาดหวังว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนของการศึกษา นักเรียนรุ่นแรกๆ ของโครงการเปรียบเหมือนหัวรถจักรที่จะลากจูงนักเรียนรุ่นต่อๆ ไป ได้มาเรียนในสิ่งที่ตนเองชอบและสนใจไม่อยากเห็นเด็กที่มีความสามารถด้านช่าง ไปเรียรนสายสามัญ ซึ่งจะทำให้ความสามารถพิเศษที่เด็กเหล่านี้มีถูกบดบังหรือถูกกลืนไป และการลงทุนด้านการศึกษาก็จะไม่สูญเปล่า จบแล้วถ้าอยากจะเรียนต่อด้านเทคโนโลยีในระดับสูงขึ้นไปก็จะมีสถาบันอุดม ศึกษารองรับให้เดินต่อไปได้
โครงการนี้เป้าหมายไม่ใช่แต่ปริญญาบัตร แต่เราต้องการบ่มเพาะคนไปสร้างเทคโนโลยี เพราะทุกวันนี้ประเทศต้องสูญเสียงบประมาณซื้อเทคโนโลยีจากต่างประเทศปีละนับ แสนล้านบาท จึงหวังว่าต่อไปกำลังคนเหล่านี้จะมีส่วนช่วยให้ประเทศสามารถพึ่งพาเทคโนโลยี และสามารถส่งออกทางด้านเทคโนโลยีได้ ถ้านักศึกษารุ่นแรกๆ ทำได้ดี ได้ผลตามเจตนารมณ์ที่วางไว้ก็จะได้ขยายผลต่อไป และอยากจะฝากถึงพ่อแม่ผู้ปกครองว่าเด็กจะเก่งได้อยู่ที่การเลี้ยงดูและบ่ม เพาะจากพ่อแม่ให้เขาได้พัฒนาความสามารถตามศักยภาพ คนที่ชอบประดิษฐ์คิดค้นนั้นเริ่มฉายแววมาตั้งแต่เด็ก ถ้าพ่อแม่ไม่เข้าใจและไม่ฟูมฟักศักยภาพพิเศษที่มีอยู่ในตัวเด็ก ความสามารถที่มีก็จะถูกข่มไว้และก็หายไปในที่สุด